UFABETWIN

UFABETWIN “อเล็กซานเดอร์ โอเวชกิ้น” : นักฮอกกี้น้ำแข็งใน เอชแอล ที่ประกาศสนับสนุน “ปูติน” ออกสื่อ

ท่ามกลางสงครามระหว่าง รัสเซีย และ ยูเครน หรือที่หลายคนอาจนิยามว่า “การรุกรานยูเครนโดยรัสเซีย” บุคคลที่ถูกประณามมากที่สุดในโลกคือ วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำเบ็ดเสร็จของมหาอำนาจแดนหมีขาว ซึ่งรับผิดชอบความวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในยุโรปตะวันออกขณะนี้

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่จะต่อต้านการตัดสินใจของประธานาธิบดีรัสเซีย เพราะนักกีฬาบางคนเลือกจะปฏิเสธที่จะพูดถึงการกระทำอันละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้คนนับล้านในยูเครน เนื่องจากจุดยืนที่สร้างความแคลงใจต่อคนทั้งโลก

อเล็กซานเดอร์ โอเวชกิ้น หนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดของวงการฮอกกี้น้ำแข็ง เขาคือคนหนึ่งที่เคยสนับสนุนปูตินอย่างออกนอกหน้า และไม่เคยกลับมาต่อว่าปูตินจนถึงทุกวันนี้ เขาสนับสนุนแนวคิดอะไรในตัวผู้นำของประเทศ? และหาทางออกอย่างไรกับจุดยืนของตนในวันที่ไฟสงครามปะทุ?

ติดตามเรื่องราวของเขาได้

ผู้เล่นระดับตำนานแห่งวงการฮอกกี้น้ำแข็ง

หากจะหาคำกล่าวสั้นๆ เพื่ออธิบายถึง อเล็กซานเดอร์ โอเวชกิ้น “ผู้เล่นที่จบสกอร์ได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์” น่าจะเป็นการพูดถึงตัวตนของนักกีฬาฮอกกี้น้ำแข็งชาวรัสเซียคนนี้ได้ดีเยี่ยม เจ้าของฉายา หมายเลขแปดผู้ยิ่งใหญ่, ตำแหน่งดราฟต์อันดับหนึ่งเมื่อฤดูกาล 2004 และกัปตันทีม วอชิงตัน แคปิตอลส์ จึงถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ ในปัจจุบัน

เขาเริ่มต้นอาชีพนักกีฬาเมื่อปี 2001 โอเวชกิ้น ประเดิมเส้นทางบนเวทีฮอกกี้นำแข็งกับทีม ดินาโม มอสโก ในบ้านเกิดตั้งแต่อายุ 16 ปี เขาใช้เวลา 3 ปีเพื่อสร้างชื่อจนเป็นที่รู้จักในหมู่แมวมองของเหล่าแฟรนไชส์ในโดย โอเวชกิ้น ยิงไป 36 ประตู และทำ 32 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 152 เกมที่ประเทศรัสเซีย

เมื่อเขาเดินทางสู่สหรัฐอเมริกา โอเวชกิ้น ถูกคาดการณ์ว่าจะเป็นผู้เล่นดราฟต์อันดับหนึ่งของปี 2004 เนื่องจากฟอร์มที่โดดเด่นต่อเนื่องกันมาถึง 2 ปี, ความสามารถในสนามที่รอบด้าน, มีทักษะในการจบสกอร์ที่เข้าขั้นอัจฉริยะ และยังกล้าจะเข้าปะทะกับผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามแบบรุนแรง สมกับเป็นวัยรุ่นเลือดร้อนจากประเทศรัสเซีย

“ผมคิดว่าการปรับตัวจากลีกยุโรปสู่ ไม่น่าเป็นปัญหาอะไรสำหรับผม เพราะผมเคยเล่นในอเมริกาเหนือมาแล้วเมื่อปีก่อน และเราก็คว้าแชมป์เวิลด์จูเนียร์มาครองได้ ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นปัญหา และผมมีความฝันจะเล่นใน เสมอ ฮอกกี้น้ำแข็งที่ดีที่สุดในโลกอยู่ที่นี่ และผมพร้อมแล้วที่จะลงเล่นในทันทีที่ผมถูกดราฟต์เข้าสู่ทีม”

เมื่อการดราฟต์มาถึง โอเวชกิ้น เป็นผู้เล่นที่ถูกเลือกคนแรกในปี 2004 โดย วอชิงตัน แคปิตอลส์ และตัวเขายังคงเล่นให้กับทีมดังจากเมืองหลวงของสหรัฐอเมริกามาจนถึงทุกวันนี้ โดยเจ้าตัวลงเล่นให้กับทีมฤดูกาลแรกในปี 2005-06 จัดการยิงไป 52 ประตู และจ่ายอีก 54 แอสซิสต์ ไม่มีผู้เล่นหน้าใหม่คนไหนทำผลงานได้ดีไปกว่าเขา โอเวชกิ้น จึงคว้าตำแหน่งรุกกี้แห่งไปไปครองโดยปราศจากคู่แข่ง

 

 

UFABETWIN

โอเวชกิ้น ระเบิดฟอร์มจนเป็นดาวซัลโวลีกครั้งแรกในฤดูกาล 2007–08 ด้วยการยิงไป 65 ประตู พร้อมกับพาวอชิงตัน แคปิตอลส์ เข้าสู่รอบเพลย์ออฟได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขาย้ายมาร่วมทีม ซึ่งความสำเร็จในฐานะดาวซัลโวของลีกตรงนี้ถือเป็นเครื่องหมายการค้าของยอดผู้เล่นชาวรัสเซีย

เพราะหลังจากคว้ารางวัลนี้มาครองเป็นครั้งแรกในปี 2007 โอเวชกิ้น ก็ครองตำแหน่งดาวซัลโวของ อีก 8 ครั้ง ในปี 2009, 2013, 2014, 2015, 2016, 2018, 2019 และ 2020 เท่ากับว่า 9 ฤดูกาลที่ผ่านมา โอเวชกิ้น เป็นดาวยิงสูงสุดของลีกถึง 7 ครั้ง นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เขาถูกยกย่องว่าเป็นตัวจบสกอร์ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาในวงการฮอกกี้น้ำแข็ง

“ความจริงคือเรากำลังเฝ้ามองหนึ่งในผู้เล่นที่น่ามหัศจรรย์ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ  ถึงแม้ว่าใครหลายคนอาจจะยังมองไม่เห็นภาพนี้ชัดเจนนัก” เควิน อัลเลน นักข่าวของ เขียนถึงความยอดเยี่ยมของโอเวชกิ้นไว้ตั้งแต่ปี 2015

หลังจากจบฤดูกาล 2020–21 โอเวชกิ้นทำผลงานยิง 730 ประตู จาก 16 ฤดูกาล กลายเป็นหนึ่งใน 8 ผู้เล่นตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของ ที่สามารถยิงประตูเกิน 700 ลูก และยังเป็นผู้เล่นที่คว้าตำแหน่งดาวยิงสูงสุดมากที่สุดด้วยจำนวน 9 ครั้ง จนได้รับการคาดการณ์ว่าเขามีโอกาสจะทำลายสถิติยิงประตูสูงสุดตลอดกาล 894 ประตูของ เวย์น เกรสกี้ ตำนานนักฮอกกี้น้ำแข็งอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

สหายปูตินกับการวางตัวเป็นกลางต่อความขัดแย้ง

แม้จะเล่นกีฬาบนแผ่นดินสหรัฐอเมริกามายาวนานกว่า 15 ปี แต่ โอเวชกิ้น ยังคงถูกจดจำจากสายตาคนทั่วไปในฐานะชาวรัสเซียเต็มขั้น โดยในปี 2011 เขาเคยรับบทบาทในโฆษณาของ เป็นสายลับจากประเทศรัสเซียที่เข้ามาแฝงตัวในสหรัฐอเมริกาภายใต้บทบาทของนักฮอกกี้น้ำแข็ง

แน่นอนว่า โอเวชกิ้น ไม่ใช่สายลับและเขาก็เป็นนักกีฬาตัวจริงเสียงจริง แต่ถึงอย่างนั้น โอเวชกิ้น ก็มีความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมไม่น้อยกับรัฐบาลรัสเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำของประเทศ ซึ่ง โอเวชกิ้น ให้การสนับสนุนอย่างออกนอกหน้ามาตั้งแต่ปี 2017

เขาถือเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เรียกว่า ซึ่งทำหน้าที่คอยช่วยสนับสนุนปูติน ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีรัสเซียเมื่อปี 2018 โดยการประกาศสนับสนุนผู้นำที่หลายคนมองว่าเป็นเผด็จการไม่ได้สร้างความแปลกใจต่อผู้คนในรัสเซีย เพราะปูตินเคยปรากฏตัวในงานแต่งงานของโอเวชกิ้นเมื่อปี 2016 เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายมีความสนิทสนมกันมากเพียงใด

เมื่อบวกกับความจริงที่การเคลื่อนไหวของ ถูกตั้งข้อสังเกตว่าได้รับการสนับสนุนอย่างลับๆจากรัฐบาลรัสเซีย ยิ่งแสดงให้เห็นว่า โอเวชกิ้น ไม่ได้สนิทกับปูตินแค่ในฐานะเพื่อน แต่ทั้งสองยังมีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกันในระดับที่อาจมีผลประโยชน์บางอย่างร่วมกันอยู่

ทุกครั้งที่ โอเวชกิ้น ถูกถามถึงความสัมพันธ์ของเขากับปูติน ซึ่งมีโอกาสจะส่อถึงนัยยะแอบแฝงทางการเมือง เขาสามารถหาคำตอบที่ดีให้แก่ผู้สื่อข่าวได้ทุกครั้ง โดย โอเวชกิ้น มักบอกว่าตัวเขาไม่ได้สนับสนุนปูตินเป็นการส่วนตัว แต่เลือกจะสนับสนุนสิ่งที่ดีที่สุดแก่ประเทศชาติในฐานะชาวรัสเซียคนหนึ่ง

“ผมแค่จะสนับสนุนประเทศของผม คุณรู้ใช่ไหม? เพราะที่นั่นคือบ้านเกิดของผม ทั้งพ่อแม่และเพื่อนทั้งหมดของผมอาศัยอยู่ที่นั่น และก็เหมือนกับมนุษย์ทุกคนจากทุกประเทศทั่วโลก พวกเราสนับสนุนประธานาธิบดีของตนเอง” โอเวชกิ้น กล่าว หลังถูกตั้งคำถามถึงเหตุผลแท้จริงที่เขาสนับสนุน วลาดิเมียร์ ปูติน

“มันเป็นแค่สิ่งที่ผมคิดและผมสนับสนุน มันไม่เกี่ยวกับการเมืองหรืออะไรแบบนั้นแน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะนี่เป็นแค่มุมมองของผม ความรู้สึกของผม”

การเคลื่อนไหวเพื่อสนับสนุนปูตินอย่างออกนอกหน้าของ โอเวชกิ้น ย่อมสร้างความไม่พอใจนักแก่ชาวอเมริกัน เพราะรัสเซียภายใต้การนำของประธานาธิบดีคนปัจจุบันตั้งตนเป็นศัตรูกับสหรัฐอเมริกาอย่างชัดเจน โอเวชกิ้น จึงถูกตั้งคำถามถึงการวางตัวของเขาว่ามีแนวคิดเกลียดชังสหรัฐอเมริกาหรือไม่?

นั่นคือเหตุผลที่สุดยอดนักฮอกกี้น้ำแข็งปฏิเสธการโยงการสนับสนุนปูตินเข้ากับเรื่องการเมือง และมักจะเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาเป็นกลางไม่เข้าข้างใคร แม้รัสเซียและสหรัฐอเมริกาจะมีข้อพิพาทกันอยู่ตลอดเวลา โอเวชกิ้น ถึงกับเปิดเผยว่าตัวเขาไม่ได้สนิทกับปูตินแบบที่ใครคิด และจะพูดคุยกันเฉพาะเรื่องฮอกกี้น้ำแข็งเท่านั้น

“ผมไม่ใช่พวกหัวการเมืองนะ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดอะไรขึ้นข้างนอกบ้าง ผมรู้แค่ว่ามันเป็นสถานการณ์ที่ตึงเครียด แต่มันก็เป็นอย่างนั้นมาเสมอ คุณก็รู้ดีนะว่าผมเล่นกีฬาที่สหรัฐอเมริกา ที่นี่คือบ้านหลังที่สองของผม และผมไม่อยากเห็นทั้งสองประเทศต่อสู้กัน ไม่อย่างนั้นเรื่องวุ่นครั้งใหญ่จะตามมาแน่นอน” โอเวชกิ้น ให้สัมภาษณ์ถึงจุดยืนของเขาเรื่องรัสเซียและอเมริกา

 

UFABETWIN

 

การแสดงจุดยืนของ โอเวชกิ้น ต่อความขัดแย้งระหว่างประเทศกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง เมื่อกองทัพรัสเซียของปูตินเข้าไปรุกรานประเทศยูเครน ซึ่ง โอเวชกิ้น ที่ขณะนี้อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา ประกาศชัดเจนว่าตัวเขาไม่สนับสนุนสงครามที่เกิดขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นกลับปฏิเสธที่จะกล่าวประณามบ้านเกิด และไม่พูดถึงชายเพียงคนเดียวที่มีส่วนรับผิดชอบต่อเหตุการณ์นี้อย่าง วลาดิเมียร์ ปูติน

“ได้โปรดอย่าสร้างสงครามอีกเลย ผมไม่สนใจหรอกว่าใครจะเกี่ยวข้องกับสงครามครั้งนี้บ้าง รัสเซีย, ยูเครน หรือประเทศอื่นๆ ผมคิดว่าเราอาศัยอยู่ในโลกที่เราต้องใช้ชีวิตด้วยสันติสุข” โอเวชกิ้น เรียกร้องให้สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนยุติลง

นี่เป็นอีกครั้งที่ โอเวชกิ้น สามารถหาทางออกเกี่ยวกับจุดยืนทางการเมืองของตัวเองได้อย่างน่าสนใจ เขาปฏิเสธจะเข้าข้างทั้งฝ่ายรัสเซียและยูเครน และเลือกแสดงความต้องการที่จะเห็นข้อยุติของสงคราม ซึ่งในขณะเดียวกัน โอเวชกิ้น ก็ไม่ได้หันหลังให้บ้านเกิด และเราจะไม่มีวันเห็นเขาออกมาประณามรัสเซีย รวมถึงปูตินอย่างแน่นอน

โอเวชกิ้น ไม่ได้ไม่สนใจการเมืองอย่างที่เขากล่าวอ้าง หรืออย่างน้อยที่สุดเขามีความเข้าใจพอจะวางตัวต่อสาธารณชนอย่างไรที่จะทำให้ไม่ถูกคนทั่วโลกประณามว่าเข้าข้างปูติน โดยยังสามารถเป็นแสดงตัวตนในฐานะบุคคลที่มีหัวใจเป็นชาวรัสเซียได้อย่างเต็มภาคภูมิ

นี่คือเรื่องราวที่แสดงให้เห็นว่า เหตุใดนักกีฬารัสเซียคนหนึ่งจึงปฏิเสธที่จะประณามประเทศ และทำได้ดีที่สุดเพียงเรียกร้องให้ยุติสงครามโดยไม่อ้างชื่อฝ่ายใด เพราะการเป็นกลางอย่างไม่เป็นกลางนี้คือทางออกเดียวของ อเล็กซานเดอร์ โอเวชกิ้น ที่จะทำให้เขาเป็นส่วนหนึ่งของผลประโยชน์ที่บ้านเกิดอาจครอบครองไว้ในกำมือได้ แม้จะผ่านวิธีการอันไม่เป็นที่ยอมรับต่อชาวโลกก็ตาม

UFABETWIN

UFABETWIN มูลค่ารวมเกือบพันล้าน! ส่องบ้าน 4 หลังของ “เมสซี” อลังการสมราคาแข้งเบอร์ 1 โลก

เดอะ ซัน สื่อจอมแฉแห่งประเทศอังกฤษ นำเสนอเรื่องราวของบ้านต่างๆ ทั้งหมดจำนวน 4 หลัง ของ ลิโอเนล เมสซี ซูเปอร์สตาร์กัปตันทีมชาติอาร์เจนตินา ที่มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 23 ล้านปอนด์ หรือราว 965 ล้านบาทเลยทีเดียว

ปัจจุบันดาวเตะวัย 35 ปี ถูกระบุว่าเช่าที่อยู่อาศัยใน กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส สนนราคาแค่ 18,000 ปอนด์ หรือราว 7.5 แสนบาทต่อเดือน ด้วยเหตุผลที่ว่าเจ้าตัวไม่คิดลงหลักปักฐานในเมืองหลวงแดนน้ำหอมอยู่แล้วนั่นเอง

อย่างไรก็ดี ก่อนหน้าจะย้ายมาร่วมทัพ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง เมื่อซัมเมอร์ที่แล้ว เมสซี มีบ้านทั้งในบาร์เซโลนาและไมอามี แต่เมื่อไม่นานมานี้เขาได้ครอบครองบ้านอีก 2 หลัง คือที่อิบิซา ประเทศสเปน และโรซาริโอ ในเมืองบ้านเกิด

บาร์เซโลนา

เริ่มที่บ้านในเมืองบาร์เซโลนา มูลค่า 5.5 ล้านปอนด์ (ราว 230 ล้านบาท) ตั้งอยู่เขตชานเมืองที่เรียกว่า ซึ่งย่านนี้มีคนรวยอาศัยอยู่มากที่สุดของเมือง มีวิวทะเลสวยงาม อยู่ในเขตห้ามบิน ทำให้เครื่องบินต้องเบี่ยงเส้นทาง ไม่สร้างเสียงรบกวนให้แก่ผู้อยู่อาศัย

บ้านหลังนี้อยู่ห่างจากสนามคัมป์ นู แค่ 12 ไมล์เท่านั้น โดยศรีภรรยา อันโตเนลลา และลูกชายทั้ง 3 คนของ เมสซี รักบ้านหลังนี้มากที่สุด มีพื้นที่ใช้สอยที่สะดวกสบาย, สนามฟุตบอลขนาดเล็ก, สระว่ายน้ำ, ยิมในร่ม รวมไปถึงสนามเด็กเล่น

 

UFABETWIN

 

ไมอามี

หลังต่อมาที่ ไมอามี ประเทศสหรัฐอเมริกา รายงานระบุว่า เมสซี ทุ่มเงิน 5 ล้านปอนด์ (ราว 210 ล้านบาท) ซื้ออพาร์ตเมนต์สุดหรูแห่งนี้เมื่อปี 2020 จนก่อให้เกิดข่าวที่ว่าเจ้าตัวจะมาเล่นให้กับ อินเตอร์ ไมอามี ทีมดังที่มี เดวิด เบ็คแฮม นั่งเก้าอี้ประธานสโมสร

อพาร์ตเมนต์หลังนี้ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นที่หาด  มีทิวทัศน์อันสวยงามของมหาสมุทรแอตแลนติก และอยู่ห่างจากชายหาดเพียง 10 ไมล์เท่านั้น ประกอบด้วย 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ และวิว 360 องศาของเส้นขอบฟ้าเมืองไมอามี รวมไปถึงห้องเก็บไวน์ 1,000 ขวด ขนาด 511 ตารางเมตร

นอกจากนี้ ยังมีสระว่ายน้ำส่วนตัว และสระรวมอีก 6 สระ, สปา, ห้องออกกำลังกาย, สตูดิโอโยคะ, โรงละครสำหรับเด็ก, บาร์ขนาดใหญ่ และเชฟส่วนตัวคอยให้บริการเจ้าของบ้านอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เมื่อปีที่แล้วมีรายงานว่า เมสซี ได้นำอพาร์ตเมนต์หลังนี้เข้าสู่ตลาด แต่ก็ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าขายไปแล้วหรือไม่

อิบิซา

สถานที่ต่อมาคือ อิบิซา สถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลชื่อดังของโลกที่ประเทศสเปน ซึ่งที่นี่ เมสซี ซื้อทั้งโรงแรมและอยู่ในช่วงต่อเติม โดยจ่ายเงินไปถึง 9.5 ล้านปอนด์ (ราว 399 ล้านบาท) แต่ต้องเจอกับปัญหาในการก่อสร้างและเอกสารที่ออกโดยหน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่น รวมถึงปัญหาการเนรมิตห้องหลายห้องในโรงรถที่เชื่อกันว่าอาจต้องถูกรื้อทิ้งเพราะผิดกฎหมาย

แม้จะยังไม่มีรายละเอียดออกมาว่าบ้านหลังนี้มีความพิเศษอะไรบ้าง แต่แน่นอนว่าด้วยสนนราคามหาศาลขนาดนี้ เมสซี ต้องจัดเต็มทุกตารางนิ้วแน่นอน เนื่องจากดาวเตะอาร์เจนไตน์โปรดปรานทะเลอิบิซาสุดๆ และหวังว่าจะได้เข้ามาพักในฤดูร้อนปีหน้าเลย

 

UFABETWIN

 

โรซาริโอ

ปิดท้ายด้วยหลังที่โรซาริโอ เมืองบ้านเกิดที่ เมสซี ต้องจากมาตั้งแต่อายุ 13 ปี เพื่อล่าฝันอาชีพค้าแข้งกับ บาร์เซโลนา ก่อนจะกลายเป็นนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดของโลกมาตลอดเกือบ 2 ทศวรรษหลัง

โดยเมื่อช่วงปลายปี 2021 เมสซี ทุ่มเงิน 3 ล้านปอนด์ (ราว 126 ล้านบาท) ให้กับคฤหาสน์ อยู่ในเขตชานเมือง ประกอบด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ 3 แปลงที่อยู่ติดกัน แม้จะตั้งอยู่ในชุมชนแต่ก็มีรั้วรอบขอบชิดในเรื่องความปลอดภัย

บ้านหลังนี้มีโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่, ห้องออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์ครบครัน, โรงจอดรถใต้ดินสำหรับรถยนต์ 15 คัน โดยสื่ออาร์เจนตินาอ้างว่า บ้านหลังนี้มีห้องราว 20-25 ห้อง และห้องเด็กเล่นที่ตั้งอยู่ชั้นบนสุดที่กว้างชนิดกินพื้นที่ทั้งหมดของบ้านเพื่อลูกชายทั้ง 3 คน

รายงานระบุเพิ่มว่า ฮอร์เก คุณพ่อของเมสซี เป็นคนออกแบบและดูแลทุกอย่างในบ้านหลังนี้ เพื่อให้ลูกชายมีสมาธิเต็มที่ในการเล่นฟุตบอล และเตรียมใช้เป้นที่พักพิงถาวรหลังจากแขวนสตั๊ดนั่นเอง

ทั้งนี้ ฟอร์บส์ นิตยสารดังระดังโลกระบุว่า เมสซี มีรายได้ในปี 2022 อยู่ที่ 130 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4,860 ล้านบาท รั้งอันดับ 1 นักกีฬาที่มีรายได้มากที่สุดของโลกคนปัจจุบัน

UFABETWIN

UFABETWIN

UFABETWIN ปล่อย 1 คน ได้ 3 แชมป์ : การเทรดผู้เล่นที่พลิก “คาวบอยส์” กลายเป็นทีมกีฬายิ่งใหญ่สุด

ดัลลัส คาวบอยส์ คือทีมกีฬาที่มีมูลค่าสูงที่สุดของโลก ด้วยความยิ่งใหญ่ในกีฬาอเมริกันทั้งยุค 70s และยุค 90s จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แฟรนไชส์นี้จะมีแฟนจากทั่วโลก และกลายเป็นแบรนด์ที่ทรงอิทธิพลในปัจจุบัน

แต่ย้อนไปในช่วงยุค 80s หลังจากหมดยุคทองจากทศวรรษก่อนหน้า คาวบอยส์แทบไม่เหลือความยิ่งใหญ่จากอดีตเลย พวกเขากลายเป็นทีมระดับล่างของ แถมการบริหารยังพังไม่เป็นท่า ไม่เห็นถึงแววที่จะกลับมาเป็นยอดทีมในอนาคตได้อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ดัลลัส คาวบอยส์ สามารถพลิกชะตาของตัวเองให้กลายมาเป็นมหาอำนาจของกีฬาอเมริกันฟุตบอลยุค 90s เพียงการเทรดผู้เล่นเพียงคนเดียวออกจากทีม

เรื่องราวนี้เป็นอย่างไร และคาวบอยส์ใช้การปล่อยนักอเมริกันฟุตบอลคนเดียวออกจากทีมสร้างอนาคตได้อย่างไร

ภารกิจคืนชีพ “คาวบอยส์”

จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในปี 1989 หลังจากการซื้อทีมคาวบอยส์ของ เจอร์รี่ โจนส์ นักธุรกิจที่ตัดสินใจกระโดดมาทำทีมกีฬาครั้งแรกในชีวิต พร้อมกับความเชื่อที่ว่า “จะพา ดัลลัส คาวบอยส์ กลับมาเป็นทีมอเมริกันฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง”

ความฝันของโจนส์ในเวลานั้นดูไกลห่างจากความจริง เพราะ ดัลลัส คาวบอยส์ ณ เวลานั้นไม่ได้เข้าสู่รอบเพลย์ออฟมาหลายปี แถมมีหนี้ก้อนโตนอกสนามให้เจ้าของทีมรายใหม่ต้องแก้ไข

ยิ่งมองถึงผลงานในฤดูกาล 1988 ของ ดัลลัส คาวบอยส์ กับการชนะแค่ 3 เกม และแพ้ไปถึง 13 เกม ยิ่งทำให้มองจากมุมไหนการคืนชีพคาวบอยส์ให้กลับมาเป็นทีมลุ้นแชมป์ของ เจอร์รี่ โจนส์ ก็ดูเป็นเรื่องเพ้อฝัน

เพราะโจนส์ไม่ได้คิดจะค่อย ๆ สร้างทีมโดยใช้เวลาหลายปี แต่เขาประกาศทันทีว่าจะพลิกคาวบอยส์ให้กลับมาเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่สมฐานะ  หรือทีมยอดนิยมของชาวอเมริกันอีกครั้ง

“ย้อนกลับไปตอนนั้น สำหรับผม (การซื้อทีมคาวบอยส์) มันคือการเดิมพัน” เจอร์รี่ โจนส์ กล่าวถึงการติดสินใจที่หลายคนมองว่าบ้า บ้างก็มองว่าโง่ กับการซื้อทีมที่ดูไร้อนาคตอย่างคาวบอยส์มาเป็นของตัวเอง

เจอร์รี่ โจนส์ คงไม่ใช่หนึ่งในนักธุรกิจที่ได้รับความเคารพในปัจจุบันหากว่าเขาเป็นคนบ้าและโง่แบบที่หลายคนคิดเกี่ยวกับการซื้อทีมคาวบอยส์ แต่เขามีภาพในหัวที่ชัดเจนในการปั้นทีมดังของรัฐเท็กซัสให้กลับขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแค่ต้องยอมให้คนด่าว่าทั้ง “บ้าและโง่”

 

 

UFABETWIN

 

ก้าวแรกที่ เจอร์รี่ โจนส์ ทำคือการปลด ทอม แลนดรี้ โค้ชคู่บุญของทีมที่เคยพาคาวบอยส์คว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์มาแล้วถึง 2 ครั้ง ชายผู้เป็นสัญลักษณ์ของแฟรนไชส์ ออกจากตำแหน่งแบบไม่ใยดี ซึ่งตามมาพร้อมกับเสียงด่าทั่วสารทิศ

เพราะหากเทียบกับกีฬาฟุตบอล มันก็เหมือนกับการที่คุณเทคโอเวอร์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และปลด เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในทันที

“สิ่งที่ เจอร์รี่ โจนส์ ทำกับ ทอม แลนดรี้ เหมือนกับการฝังเขาให้ตายทั้งเป็น” สกอต เฟอร์เรล สื่อชื่อดังกล่าวถึงการปลดโค้ชที่เกิดขึ้นก่อนฤดูกาล 1989

ถึงจะโดนแฟน ๆ โขกสับนับไม่ถ้วน แต่นี่คือการประกาศครั้งสำคัญของ เจอร์รี่ โจนส์ ว่าเขาพร้อมทำทุกทางที่เขาเชื่อว่าจะทำให้คาวบอยส์กลับมายิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะถูกใจใครหรือไม่ก็ตาม

เมื่อ เจอร์รี่ โจนส์ กล้าที่จะไล่ชายผู้เป็นหัวใจของคาวบอยส์ออกไปจากทีมได้ เขาก็พร้อมจะเฉดหัวทุกคนออกไปได้ แม้กระทั่งผู้เล่นที่มีผลงานยอดเยี่ยมที่สุดของทีมในเวลานั้น

เทรด “เฮอร์เชล วอล์คเกอร์”

ในยุคที่ ดัลลัส คาวบอยส์ ตกต่ำสุดขีด อย่างน้อยแฟน ๆ ของทีมก็มีสิ่งให้ชื่นใจอยู่บ้าง นั่นคือผลงานของรันนิ่งแบ็ก หรือตัววิ่ง อย่าง เฮอร์เชล วอล์คเกอร์

ตัววิ่งหนุ่มที่ไม่มีใครเห็นค่าจนปล่อยให้ ดัลลัส คาวบอยส์ ดราฟต์ตัวในรอบที่ 5 ของการดราฟต์ปี 1985 กลับกลายเป็นสตาร์ดังของทีม ด้วยการติดทีมยอดเยี่ยมทั้ง ถึง 2 ปีติดต่อกัน ในฤดูกาล 1987 และ 1988 โดยเฉพาะในปี 1988 ที่เขาทำระยะจากการวิ่งและการรับบอลมากกว่า 2,000 หลา ซึ่งถือเป็นผลงานระดับสุดยอดของตำแหน่งรันนิ่งแบ็ก

ถึงอนาคตของทีมจะไม่สดใส แต่แฟนคาวบอยส์ก็เชื่อว่าถ้าวันรุ่งโรจน์ของทีมมาถึง เฮอร์เชล วอล์คเกอร์ คือส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ความฝันของพวกเขาเกิดขึ้นจริง

แต่คนหนึ่งที่ไม่ได้คิดแบบนั้นคือโค้ชคนใหม่ของคาวบอยส์ จิมมี่ จอห์นสัน ด้วยโจทย์ที่ต้องพาคาวบอยส์กลับมาประสบความสำเร็จให้เร็วที่สุด สิ่งที่ชัดเจนในความคิดของจอห์นสันคือ เขาไม่สามารถนำทัพดัลลัสกลับไปยิ่งใหญ่ได้ด้วยทีมชุดปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงซูเปอร์สตาร์อย่าง เฮอร์เชล วอล์คเกอร์

“ผมเปิดประตูมากในการเทรดผู้เล่นออกจากทีม ผมรับโทรศัพท์คุยเรื่องนี้ทุกวัน ยุคนั้นไม่มีใครกล้าเทรดผู้เล่นดี ๆ ออกจากทีมหรอก”

“แต่เราอยากจะเปลี่ยนทีมนี้ให้กลับมาเป็นทีมที่สุดยอดอีกครั้ง ดังนั้นเราต้องมียอดผู้เล่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ได้ผู้เล่นเหล่านั้นมาผ่านการดราฟต์ผู้เล่นหน้าใหม่ เราก็ต้องยอมเทรดผู้เล่นบางคนออกจากทีม”

“ตอนแรกผมจะปล่อยผู้เล่นคนอื่นออกจากทีม แต่อยู่ดี ๆ มินนิโซตา ไวกิงส์ ก็ติดต่อเข้ามาถามว่า ‘ผมพร้อมปล่อย เฮอร์เชล วอล์คเกอร์ หรือเปล่า ?'”

“ผมก็ตอบกลับไปว่า ‘ไวกิงส์สามารถให้สิทธิ์ดราฟต์รอบแรก 1 สิทธิ์, รอบสอง 2 สิทธิ์ และรอบสามอีก 2 สิทธิ์ ได้ไหมล่ะ ?'”

“หลังจากนั้นผมก็ไปคุยกับ เจอร์รี่ โจนส์ ผมบอกเขาว่ามีข้อเสนอที่บ้ามาก ๆ เข้ามา แต่ผมว่าเราขูดเลือดจากไวกิงส์ได้อีกนะ” จิมมี่ จอห์นสัน เล่าถึงเบื้องหลังของการเทรดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

แม้ว่าในทีแรก เจอร์รี่ โจนส์ จะไม่เห็นด้วยนักกับการปล่อย เฮอร์เชล วอล์คเกอร์ ออกไป เพราะเขาก็ไม่อยากเสียผู้เล่นที่ผลงานดีที่สุดในทีม แต่หลังจากเห็นข้อเสนอของ มินนิโซตา ไวกิงส์ นักธุรกิจมือทองอย่างโจนส์ก็เอาด้วยกับแผนของ จิมมี่ จอห์นสัน ทันที ทำให้การเทรดเกิดขึ้นจริงระหว่างฤดูกาล 1989

เพราะสุดท้าย ดัลลัส คาวบอยส์ ได้สิทธิ์ดราฟต์ของ มินนิโซตา ไวกิงส์ มาครอบครองถึง 8 สิทธิ์ โดยเป็นสิทธิ์ดราฟต์ในรอบแรกถึง 3 สิทธิ์ และรอบสองอีก 3 สิทธิ์ จากปี 1990, 1991 และ 1992 รวมถึงยังมีสิทธิ์ดราฟต์รอบสามและรอบหกเพิ่มขึ้นมาด้วย

นอกจากนี้ ดัลลัส คาวบอยส์ ยังได้ผู้เล่นของ มินนิโซตา ไวกิงส์ มาเพิ่มอีก 4 คน ได้แก่ เจสซี่ โซโลมอน, เดวิด โฮวาร์ด, ไอแซ็ค ไฮล์ต และ อเล็กซ์ สจวร์ต ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้เล่นตัวหลักของไวกิงส์ทั้งสิ้น

ขณะที่คาวบอยส์เสียให้ผู้เล่นให้ไวกิงส์เพียงคนเดียวคือ เฮอร์เชล วอล์คเกอร์ รวมถึงสิทธิ์ดราฟต์รอบสามอีก 2 สิทธิ์ และสิทธิ์ดราฟต์รอบสิบอีก 1 สิทธิ์เท่านั้น

หากพูดถึงมุมของการทำธุรกิจ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะมองมุมไหน ดัลลัส คาวบอยส์ ก็ได้เปรียบเห็น ๆ กับการกุมสิทธิ์ดราฟต์รอบแรกและรอบสองจำนวนมากไว้ในมือ ทำให้พวกเขาสามารถสร้างอนาคตของทีมได้แบบสบาย ๆ

 

UFABETWIN

 

ตรงกันข้ามกับ มินนิโซตา ไวกิงส์ ที่ได้ทำการฆ่าอนาคตของตัวเองไปเป็นที่เรียบร้อย เพราะอีก 3 ปีข้างหน้าทีมไม่สามารถเลือกผู้เล่นในสองรอบแรกจากการดราฟต์ได้เลย ซึ่งเป็นการปิดโอกาสในการได้ตัวผู้เล่นฝีมือดี แถมยังอายุน้อยมาร่วมทีมไปหลายคน

ที่สำคัญทีมยังเสียผู้เล่นตัวหลักของทีมไปถึง 4 คน เพื่อแลกกับผู้เล่นเพียงคนเดียว หากมองจากมุมของยุคปัจจุบัน นี่คือการเทรดที่น่าเหลือเชื่อมาก ๆ กับการที่ไวกิงส์ยอมขาดทุนขนาดนี้

แต่ย้อนไปในยุคนั้น ทีมที่ถูกคนด่าไม่ใช่ไวกิงส์แต่เป็นคาวบอยส์ เพราะการปล่อยผู้เล่นที่ผลงานดีที่สุดในทีมออกไปทำให้แฟนคาวบอยส์เห็นเป็นเสียงเดียวกันว่านี่คือจุดจบของแฟรนไชส์ ซึ่งในตอนแรกเหมือนจะเป็นแบบนั้นจริง ๆ เพราะเมื่อฤดูกาล 1989 จบลงด้วยการที่คาวบอยส์ชนะแค่เกมเดียวและแพ้ไปถึง 15 เกม จนกลายเป็นผลงานที่แย่ที่สุดตลอดกาลของทีมมาจนถึงปัจจุบัน

สู่การเป็นทีมแห่งยุคสมัย

ไม่แปลกหากผลงานของคาวบอยส์ในปี 1989 จะเละเทะไม่มีชิ้นดี นั่นเป็นเพราะแผนการสร้างทีมของพวกเขายังไม่ได้เริ่มต้นขึ้นจริง ๆ แต่เมื่อถึงการดราฟต์ในปี 1990 ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

“นี่คือการเทรดที่ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมมากจริง ๆ กับการกำหนดอนาคตของคาวบอยส์” เจอร์รี่ โจนส์ กล่าวทันทีหลังจากปล่อยสตาร์ตัวดังออกจากทีม เขาแสดงถึงความมั่นใจอย่างมากว่าเขาเชื่อแค่ไหนกับการเล่นแร่แปรธาตุครั้งนี้

ในฤดูกาล 1990 ดัลลัส คาวบอยส์ ใช้สิทธิ์ดราฟต์รอบแรกที่ได้มาจากไวกิงส์ (อันดับ 21) รวมถึงรอบสองที่ได้มาไปเทรดแลกกับสิทธิ์ของทีม พิตส์เบิร์ก สตีลเลอร์ส (อันดับ 17) ในการเลือก เอ็มมิตต์ สมิธ มาเป็นรันนิ่งแบ็กคนใหม่ของทีม

เพียงแค่ฤดูกาลแรก เอ็มมิตต์ สมิธ ก็ทำผลงานรวมให้กับทีมมากกว่า 1,000 หลา ติดทีมยอดเยี่ยม และคว้ารางวัลผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยมของฝั่งทีมบุก พูดง่าย ๆ คือคาวบอยส์เสียตัววิ่งระดับท็อปไปไม่ถึงปีพวกเขาก็ได้ตัวใหม่มาทันที แต่ที่ต่างออกไปคือพวกเขาได้ผู้เล่นมาจากไวกิงส์เพิ่มอีก 4 คน แถมมีสิทธิ์ดราฟต์เหลืออยู่อีกเพียบ แค่นี้ก็แสดงให้เห็นได้ชัดเจนแล้วว่าคาวบอยส์เลือกได้ถูกต้องเพียงใดในการเทรดครั้งนี้

ในปี 1991 และ 1992 คาวบอยส์ใช้สิทธิ์ดราฟต์ที่ทีมได้มาจากไวกิงส์ในการเลือกตัวผู้เล่นอย่าง รัสเซล แมรี่แลนด์, เคล์ยตัน โฮล์มส์, เควิน สมิธ และ ดาร์เรน วูดสัน เข้ามาเป็นตัวหลักของทีม

เมื่อบวกกับผู้เล่นคนอื่นอย่าง ทรอย เอ็คแมน, ไมเคิล เออร์วิน, เจย์ โนวาเซ็ค ทำให้ในฤดูกาล 1992 คาวบอยส์พร้อมแล้วที่จะล่าแชมป์ซูเปอร์โบวล์

ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ ดัลลัส คาวบอยส์ คว้าแชมป์ 3 สมัย จาก 4 ฤดูกาล (1992, 1993, 1995) และมีผู้เล่นกำลังหลักถึง 5 คนในทีมชุดนั้นที่ได้มาจากการใช้สิทธิ์ดราฟต์ที่ มินนิโซตา ไวกิงส์ ให้มาเพื่อแลกกับตัว เฮอร์เชล วอล์คเกอร์

โดยเฉพาะ เอ็มมิตต์ สมิธ ที่ไม่ได้แค่คว้าแชมป์ร่วมกับทีม 3 สมัย แต่เขายังกลายเป็นหนึ่งในรันนิ่งแบ็กที่ดีที่สุดตลอดกาลของ NFL กับการวิ่งทำระยะได้เกิน 1,000 หลา เป็นระยะเวลา 11 ฤดูกาลติดต่อกัน (1991 ถึง 2001) รวมถึงเป็นรันนิ่งแบ็กที่ทำระยะและทำทัชดาวน์จากการวิ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ควบกับรางวัล ในปี 1993 อีกด้วย

แค่การได้ตัว เอ็มมิตต์ สมิธ เพียงคนเดียวก็ถือเป็นสิ่งที่คุ้มเกินคุ้มแล้วสำหรับคาวบอยส์ เพราะขณะที่ เอ็มมิตต์ สมิธ กลายเป็นตำนาน เฮอร์เชล วอล์คเกอร์ กลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิงกับไวกิงส์

วอล์คเกอร์ไม่เคยทำผลงานได้ดีเหมือนสมัยอยู่กับคาวบอยส์อีกเลย และเมื่อจบฤดูกาล 1991 เขาก็ถูก มินนิโซตา ไวกิงส์ ปล่อยออกจากทีม เท่ากับว่าการลงทุนมหาศาลของไวกิงส์ได้ใช้งานผู้เล่นรายนี้ไปเพียงไม่ถึง 3 ฤดูกาลเท่านั้น

ขณะที่ไวกิงส์ล้มเหลวไม่เป็นท่า ดัลลัส คาวบอยส์ กลับกลายเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุดในยุค 90s เพียงเพราะการปล่อยผู้เล่นออกจากทีมเพียงแค่คนเดียว นั่นคือ เฮอร์เชล วอล์คเกอร์

การเทรดในครั้งนี้ถูกยกให้เป็นการเทรดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของ เพราะผลกระทบของมันได้สร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ของแฟรนไชส์หนึ่งขึ้นมา และความสำเร็จของ ดัลลัส คาวบอยส์ ที่เกิดขึ้นในยุค 90s ก็กลายเป็นรากฐานที่ทำให้ทีมต่อยอดจนกลายเป็นทีมกีฬาที่มีมูลค่ามากที่สุดของโลกในปัจจุบัน

นอกจากนี้การเทรดครั้งนี้ยังถือเป็นบทเรียนสำคัญที่ฝ่ายบริหารของทุกทีมใน ต้องเรียนรู้ อีกทั้งยังเป็นการตอกย้ำให้ทั้งลีกได้เรียนรู้คุณค่าของสิทธิ์ดราฟต์ที่เป็นมูลค่ามหาศาลหากสามารถเลือกได้ถูกคน

แม้เวลาจะผ่านไป 30 ปีแล้ว แต่การเทรด เฮอร์เชล วอล์คเกอร์ ยังคงเป็นเรื่องราวที่ถูกพูดถึงอยู่ตลอดถึงความบ้าคลั่งของการเทรดที่เกิดขึ้นและจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะนี่คือบทเรียนที่ไม่มีใครอยากจะเดินรอยตาม มินนิโซตา ไวกิ้งส์ เป็นครั้งที่สองแน่นอน

UFABETWIN

UFABETWIN โยนาส วินจ์การ์ด : เบื้องหลังแชมป์ตูร์ เดอ ฟรองซ์ ที่ต้องแพ็คปลาเพื่อซื้อจักรยาน

หากพูดถึงประเทศเดนมาร์ก เราคงนึกถึงอะไรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโคนม, รัฐสวัสดิการ, ดินแดนที่เหน็บหนาว พระอาทิตย์ตกดินอย่างรวดเร็วในช่วงฤดูหนาว หากเป็นแฟนฟุตบอลอาจจะนึกถึงชุดฟุตบอลสีแดงสด และแชมป์ฟุตบอลยูโร ปี 1992

ทว่า ณ เวลานี้ เดนมาร์ก ได้กลายเป็นที่จดจำในฐานะบ้านของแชมป์จักรยานทางไกล ตูร์ เดอ ฟรองซ์ 2022 อย่าง โยนาส วินจ์การ์ด

ชายหนุ่มช่างฝันจากดินแดนที่มีวัฒนธรรมด้านจักรยานแทรกซึมในทุก ๆ เส้นทางมากว่า 100 ปี … จากโกดังประมูลปลา และเจ้าหน้าที่แพ็คปลากระป๋อง เขามาถึงแชมป์จักรยานรายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกได้อย่างไร ?

จุดเริ่มต้น ณ ดินเเดนของนักปั่น

ณ งานปั่นจักรยานทางไกลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศเดนมาร์ก รายการนี้ไม่ใช่แค่การแข่งขันระดับประเทศ แต่มันคือรายการที่สร้างแรงบันดาลใจส่งถึงกันจากรุ่นสู่รุ่น

พ่อแม่ผู้ปกครองที่พอมีกำลังทรัพย์จะพาลูก ๆ ของพวกเขามาที่งานนี้ เป้าหมายสำคัญคือให้เด็ก ๆ ได้มาเห็นว่าการปั่นจักรยานของเหล่านักกีฬามืออาชีพเป็นเช่นไร

เด็กบางคนมาเพื่อสนุกกับงาน เด็กบางคนมาเพราะไม่ผู้ปกครองพามาเท่านั้นไม่ได้รู้ประสีประสา แต่เด็กคนหนึ่งดวงตาเป็นประกายเมื่อได้เห็นแชมป์ 3 สมัยของรายการนี้อย่าง ยาค็อบ ฟูกล์ซาง ปั่นจักรยานผ่านหน้าเขาและเข้าเส้นชัยในการแข่งขันปี 2010

เด็กคนดังกล่าวโบกธงชาติเดนมาร์กต้อนรับผู้ชนะ ความเท่ของยาค็อบโดนใจเขาอย่างจัง เขาบอกพ่อของเขาที่พามาชมการแข่งขันครั้งนั้นว่าเขารู้แล้วว่าทำไมเขาจึงเตะฟุตบอลไม่เก่ง … จริง ๆ แล้วปั่นจักรยานต่างหากคือสิ่งที่เขาอยากจะทำจริง ๆ เด็กคนดังกล่าวมีชื่อว่า โยนาส วินจ์การ์ด พระเอกของของวงการจักรยาน ณ เวลานี้

“ย้อนกลับไปในปี 2010 ทัวร์นาเมนต์ จัดแข่งขันในบ้านเกิดของของผม ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจจักรยานมากนัก ผมชอบเล่นฟุตบอล แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าผมทำมันได้ไม่ค่อยดีนัก จะบอกว่าไม่เก่งหรือไม่พยายามก็คงไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่ผมคิดว่ามันคือเรื่องของแรงจูงใจ” โยนาส เริ่มเล่าจุดเริ่มต้นของเขา

“พ่อผมค่อนข้างจริงจังกับการหาสิ่งที่ผมชอบ ท่านบอกว่าไม่ชอบฟุตบอลก็ไม่เป็นไร งั้นเราไปที่สนามสเตจกัน (สนามแข่ง ) … ตรงนั้นแหละคือจุดเริ่มต้นตั้งแต่ต่ำสุดจนถึงสูงสุดของผมเลย”

ที่ประเทศเดนมาร์กนั้นเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมเกี่ยวกับการปั่นจักรยานมามากกว่า 100 ปี รัฐบาลของพวกเขาผลักดันการใช้จักรยานให้เป็นนโยบายระดับชาติเพื่อรักษาสุขภาพของประชาชนในประเทศ ทั้งในแง่การรักษาสภาพแวดล้อม, ลดปัญหาด้านมลพิษ ไปจนถึงสนับสนุนให้คนออกจากบ้านมาออกกำลังกายไปใช้เวลากับธรรมชาติมากขึ้น เพื่อพัฒนาสุขภาพจิตของประชาชนในประเทศ

 

รัฐบาลเดนมาร์กยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาเลนจักรยานให้ประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย โดยเลนจักรยานยังช่วยให้ผู้ขับขี่จักรยานสามารถขี่ด้วยความเร็วได้ถึง 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อย่างปลอดภัย

รวมไปถึงเรื่องของราคาจักรยานที่รัฐบาลเดนมาร์กพยายามควบคุมราคาจักรยานในประเทศให้ไม่แพงและมีคุณภาพดี เพราะรัฐบาลต้องการควบคุมจำนวนรถยนต์ในประเทศให้มีจำกัด เพื่อให้จักรยานเป็นทางเลือกแรกที่คนจะเลือกใช้เป็นยานพาหนะประจำตัวไม่ใช่รถยนต์ … ลูกเด็กเล็กแดงทุกคนล้วนผ่านประสบการณ์ปั่นจักรยานมาแล้วทั้งนั้น และตัวของโยนาสก็เช่นกัน เขาปั่นจักรยาน 2 ล้อเป็นตั้งแต่ 4 ขวบ และเริ่มสนใจจักรยานจริง ๆ หลังจากชมการแข่งขัน

โยนาส วินจ์การ์ด สมัครเขาเป็นสมาชิกสโมสรปั่นจักรยานท้องถิ่นที่มีชื่อว่าและเริ่มลงแข่งขันในระดับท้องถิ่นตั้งแต่อายุ 14 ปี

“พ่อแม่พาผมไปเริ่มต้นตั้งแต่สเตจ 1 ผมเริ่มเข้าชมรมจักรยานท้องถิ่น ผมลองปั่นจักรยานให้พวกเขาดูแล้วพวกเขาก็แบบ ‘ว้าวไอ้หนู นั่นมันสุดยอดมาก’ ซึ่งผมเดาว่าพวกเขาก็บอกแบบนี้กับเด็กทุกคนนั่นแหละ เพราะพวกเขาอยากให้คนเข้ามาเป็นสมาชิกของสโมสร แต่บังเอิญผมดันบ้ายอซะด้วย คำชมนั้นมันได้ผลมาก ๆ กับผม ตั้งแต่นั้นมาผมก็เลยบ้าปั่นจักยาน”

 

อย่างที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้น แค่ความชอบมันไม่พอที่จะทำให้เด็กคนหนึ่งก้าวไปข้างหน้าจนถึงขั้นได้เป็นนักกีฬาระดับโลก ของแบบนี้ต้องมองที่สิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ด้านการปั่นจักรยานของชาวเดนมาร์กมีผลอย่างมาก นอกจากจะมีสโมสรท้องถิ่นกระจายอยู่ทั่วประเทศแล้ว พวกเขายังมีการแข่งขันทุกระดับรองรับคนชอบปั่นจักรยานที่มากกว่าแค่เพื่อความเพลิดเพลิน

โยนาสตระเวนแข่งรายการต่าง ๆ ตั้งแต่อายุ 14 ปี พัฒนาการปั่นได้ทุกรูปแบบทั้งขึ้นเขาลงห้วย เขากลายเป็นคนบ้าปั่นจักรยานจริง ๆ และสิ่งเหล่านี้นำพาให้เขาก้าวไปสู่สิ่งใหม่ที่ใหญ่และเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม … จนมาถึงวันที่เขากลายเป็นนักกีฬาระดับประเทศและต่อยอดไปถึงระดับโลก ซึ่งเขายอมรับว่าเป็นช่วงเวลาที่ต้องใช้ทั้งความพยายาม ระเบียบวินัย ทุนทรัพย์ มากกว่าที่ใครหลายคนจะคาดคิด

 

UFABETWIN

 

โลกของผู้ใหญ่

เมื่อเขาเรียนจบมัธยมปลายในปี 2016 หลายอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป ความรับผิดชอบแบบผู้ใหญ่กำลังจะตามมา การแข่งขันจักรยานระดับท้องถิ่นไม่ได้ทำรายได้มากนักหากจะยึดเป็นอาชีพหลัก อีกทั้งอะไหล่แต่ละอย่างชิ้นส่วนแต่ละชิ้นก็มีราคาสูงตามคุณภาพ ถ้าอยากเร็วขึ้นก็ต้องยอมจ่ายในส่วนนี้ด้วยเช่นกัน

 

โยนาสเล่าว่าตอนที่เขาเริ่มเข้าแข่งขันในระดับเยาวชนผลงานของเขานั้นตกไปมาก นั่นทำให้รายได้ของเขาต้องหดหายไปด้วย … ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงอนาคตของนักกีฬาหลาย ๆ คน เป็นช่วงรอยต่อระหว่างวัยเด็กกับชีวิตจริง นั่นคือการแข่งขันแบบเยาวชนกับการแข่งขันระดับสากลที่ไม่มีกรอบของอายุมากั้น

ช่วงนี้แหละที่พวกเขาจะได้พบความความลำบากที่ต้องใช้ความพยายามมากกว่าที่ผ่านมา พวกเขาจะชนะยากขึ้น พวกเขาจะพบเจอกับช่วงเวลาที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง จะตั้งใจเล่นกีฬาอย่างเดียวก็กลัวว่าจะเสี่ยงไปสำหรับอนาคต จะเลิกเล่นกีฬาแล้วไปทำงานประจำก็ยากแก่การทำใจ ครั้นจะให้ทำงานไปด้วยและฝักใฝ่ในการเป็นสุดยอดนักกีฬาไปด้วยก็เป็นเรื่องยากอีก มีนักกีฬาหลาย ๆ คนที่เกือบยอมแพ้ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ ซึ่งตัวโยนาสเองก็อยู่ในสถานการณ์ที่คล้าย ๆ กัน

“เมื่อถึงช่วงเวลาหลังเรียนจบในปี 2016 มันก็เป็นช่วงเวลาที่ผมต้องเริ่มออกมาหางานทำเเล้ว งานแรกของผมเริ่มที่งานประมูลปลา ผมทำงานอยู่ที่นั่นเกือบปีเห็นจะได้” โยนาส เล่าย้อนความ

เขาต้องเลือกว่าจะทำอย่างไรต่อสำหรับอนาคต โยนาสจึงเลือกเดินบนทาง 2 ทางพร้อม ๆ กัน เขาสมัครงานเป็นเจ้าหน้าที่ในโรงประมูลปลาที่จับมาจากมหาสมุทร ซึ่งอุตสาหกรรมประมงถือเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศเดนมาร์ก เขาทำหน้าที่ดังกล่าวไปพร้อม ๆ กับการสมัครเป็นหนึ่งในทีมนักปั่นของสโมสร ที่ก่อตั้งทีมอายุไม่เกิน 23 ปีเป็นครั้งแรก

 

เขาลดระดับความกดดันในการแข่งขันลงและเริ่มกลับมาทบทวนเนื้อหาเกี่ยวกับพื้นฐานอีกครั้ง เมื่อค่อย ๆ เริ่มอย่างช้า ๆ ทุกอย่างดูจะไปได้สวย เขาได้จักรยานดี ๆ ที่ทีมจัดหาให้ เขาใช้มันฝึกซ้อมอย่างจริงจังหลังตั้งเป้ากลับไปสู่การแข่งขันระดับสูงอีกครั้ง หนนี้ผลงานของเขาดันไปเข้าตาทีมระดับอาชีพประเทศของเดนมาร์กชื่อว่า

คริสเตียน แอนเดอร์เซ่น ผู้จัดการทั่วไปของ เป็นคนที่เห็นความสามารถของโยนาสที่ซ่อนอยู่ เขาบอกว่าจุดเด่นของโยนาสคือพละกำลังในการปั่นขึ้นภูเขาถึงขนาดที่เขาถูกเรียกว่า ถึงจะดีแค่ไหนแต่เขาก็เพิ่งมาถึงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

แอนเดอร์เซ่นเข้าใจว่า ณ ตอนนี้โยนาสยังไม่สามารถทำเงินจากการแข่งขันให้พอสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ เขาจึงเข้ามาช่วยจัดตารางการทำงานและตารางการฝึกซ้อมให้กับโยนาสแบบเต็ม ๆ เขาหางานที่มีเวลาสัมพันธ์กันกับการฝึกซ้อมด้วยการฝากงานที่โรงงานปลาที่ชื่อว่า

ลักษณะของงานคือ โยนาสจะต้องมาช่วยแร่ปลาและชำแหละชิ้นส่วนที่โรงงานนี้ 3 วันต่อสัปดาห์ โดย 1 วันจะต้องทำงาน 6 ชั่วโมง ตั้งเเต่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นและเลิกงานช่วงบ่าย ซึ่งหลังจากเลิกงานเขาก็จะแบกจักรยานคู่ใจไปซ้อมต่ออีกหลายชั่วโมงแล้วจึงกลับบ้านมาพักผ่อน

เส้นทางสู่การเป็นที่ 1 ไม่มีทางได้หยุดพักง่าย ๆ ช่วงเวลาปี 2016-2018 เป็นช่วงเวลาที่โยนาสต้องทำกิจวัตรเดิม ๆ ซ้ำแบบนี้ทุกวัน แต่อย่างน้อยสิ่งที่ทำให้เขาอดทนกับการรับบทบาท 2 บทในเวลาเดียวกันได้เพราะเขาได้เห็นพัฒนาการของตัวเองช่วงที่อยู่กับ โยนาสได้ไปแข่งขันตามที่ต่าง ๆ มากมายหลายประเทศ รวมถึงการแข่งขันระดับนานาชาติที่เขาประสบความสำเร็จครั้งแรกใน ที่ประเทศจีน ด้วยการคว้าอันดับ 2 ตอนที่เขาอายุแค่ 19 ปีเท่านั้น

ชื่อเสียงของราชาแห่งขุนเขาดังขึ้นหลังจากนั้น มีทีมระดับอาชีพที่ใหญ่กว่าอย่าง ทีมจักรยานจากประเทศเนเธอร์แลนด์ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1984 และหลังจากก่อตั้งทีม ไม่มีปีไหนเลยที่พวกเขาจะไม่ส่งนักปั่นในทีมลงแข่งขันในรายการที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง ตูร์ เดอ ฟรองซ์ และนักปั่นอย่าง โยนาส วินจ์การ์ด คือคนต่อไปที่พวกเขาอยากจะทำให้ไปถึงจุดนั้นให้ได้

ชนะตั้งแต่คาแร็กเตอร์

ชื่อเสียงและรางวัลของโยนาสก่อนมาอยู่กับ ถือว่าดังในระดับหนึ่งแล้ว แต่ เมอรินจ์ ซีแมน ผู้จัดการทีมบอกว่าสิ่งที่ทำให้เขาพิจารณาโยนาสคือเรื่องของคาแร็กเตอร์ เพราะการเป็นชนชั้นแรงงานและล่าฝันไปพร้อม ๆ กันคืองานที่หนักมาก และหากใครสักคนที่ผ่านจุดนั้นมาได้พวกเขาจะเห็นความสำคัญของความพยายามของตัวเองเป็นอย่างดี พวกเขาจะไม่ทิ้งแล้วยอมแพ้ง่าย ๆ จนกว่าจะถึงวันสุดท้าย

 

“ต้องบอกเลยว่าคาแร็กเตอร์นี้แหละคือสิ่งที่สำคัญมาก” ซีแมน กล่าว

“โยนาสทำงานในเรือประมงและโรงงานแร่และบรรจุปลาทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีนักกีฬาที่ผ่านปูมหลังแบบนั้นมาได้ เพราะมันหมายความว่าเขาจะต้องตื่นตอนตี 4 ทำงานตั้งแต่ 6 โมงเช้าต่อเนื่องเป็นเวลา 7 ชั่วโมง จากนั้นถึงจะได้ไปปั่นจักรยาน … ทีนี้แหละเมื่อคนอย่างนี้ได้กลายเป็นนักกีฬาอาชีพ พวกเขาจะมีความได้เปรียบเพราะพวกเขาเรียนรู้ความลำบากมาเเล้ว สิ่งที่เขาผ่านมายากยิ่งกว่าสิ่งที่เขาจะเจออีกด้วยซ้ำไป”

 

UFABETWIN

 

มีคำกล่าวที่ว่า เมื่อเราหลงรักสิ่งใดสิ่งนั้นจะพาเราไปในที่ใดสักแห่ง สำหรับโยนาสที่ คือที่ที่เขาตามหา นับตั้งแต่เขามาร่วมทีม มีการวางแผนอย่างจริงจังเกี่ยวกับการฝึกซ้อมและการลงเเข่งขันเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับรายการ ตูร์ เดอ ฟรองซ์ โยนาสเล่าว่า ที่นี่คนทั้งองค์กรมีฝันเดียวกันนั่นคือการพิชิต ตูร์ เดอ ฟรองซ์ ให้ได้

“ในปี 2020 คือปีที่เราทุกคนต่างเริ่มพูดถึงการพิชิตความฝันกันแล้ว ผมเองก็ด้วย ผมไม่อยากตั้งเป้าหมายที่เลื่อนลอยอีกแล้ว พวกเรากำหนดเส้นตายว่ามันจะต้องเกิดขึ้น สิ่งที่เราทำอยู่กำลังมาถูกทาง หากเรายังเดินไปข้างหน้าอย่างมีเป้าหมายเราาจะไปอยู่อันดับต้น ๆ ของการแข่งขันได้สักที” โยนาส กล่าว

“การวางแผนเริ่มขึ้นจากตรงนั้น เรากางกระดาษแผ่นใหญ่ขึ้นมาหนึ่งแผ่น เริ่มเขียนความฝันของแต่ละคน และตัดสินใจว่าเมื่อไหร่จะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่เราจะกลายเป็นผู้ชนะ นี่คือเรื่องราวที่สวยงามที่สุดที่ผมเคยสัมผัส เมื่อคุณมองไปยังคนทำงานทุกคนและเห็นว่าทั้งองค์กรมุ่งมั่นไปกับสิ่งเดียวกัน มันเป็นสิ่งที่พวกเราได้ตั้งความหวังไว้”

 

เมื่อรู้เช่นนั้นโยนาสจึงตัดสินใจเสี่ยงแบบหมดหน้าตัก เขาลาออกจากการเป็นพนักงานชำแหละปลาและมาเอาดีทางด้านการปั่นจักรยานอย่างเต็มตัวในปี 2020 แต่การสู้ยังคงต้องดำเนินต่อไป เพราะเป็นช่วงเวลาที่โควิด-19 ระบาดไปทั่วโลก กิจกรรมการแข่งขันต่าง ๆ ของกีฬาแทบทุกชนิดอยู่ในช่วงสุญญากาศ วงการจักรยาน ก็เช่นกัน

“อยู่ดี ๆ เราก็เจอกับสถานการณ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ผมพลาดการแข่งขันไปหลายรายการ แต่สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในตอนนั้นคือการเน้นเรื่องตารางการฝึกซ้อมที่ทีมออกแบบให้ ผมรักษาความฟิตของร่างกายตัวเองอยู่ตลอด แทบไม่เคยหลุดโปรเเกรมซ้อมแบบปกติเลย ผมทบทวนศึกษาเรื่องพื้นฐานซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมทำให้ขาและร่างกายของผมทนทานขึ้น”

ปลายปี 2020 การพยายามรักษาความฟิตก็เห็นผล โยนาส ลงแข่งขันในรายการและสามารถคว้าเเชมป์ได้สำเร็จ และเส้นทางสู่ ตูร์ เดอ ฟรองซ์ ก็เริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้งหลังสถานการณ์โลกเข้าสูโหมดปกติ ทีมที่ไม่ปล่อยช่วงเวลาของโรคระบาดให้เสียเปล่าก้าวกระโดดทันทีหลังปี 2021 เป็นต้นมา โดยมี โยนาส วินจ์การ์ด เป็นเบอร์ 1 ของทีม

เขาเริ่มคว้าเเชมป์และได้เงินรางวัลมากขึ้นไล่จากการแข่งขันที่เข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 1 ในรอบที่ 5 จากนั้นรายการที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง กลางปี 2021 ตูร์ เดอ ฟรองซ์ จะจัดแข่งขันขึ้นอีกครั้ง

 

ทว่าในเวลาที่พวกเขาคิดว่าพร้อมที่สุดแล้วก็ยังไม่พออยู่ดี โยนาส วินจ์การ์ด คือนักปั่นที่ได้รับคำชมอย่างมากในรายการนั้น เขาติดในลิสต์ท็อป 10 แทบทุกรายการ ทั้งแบบการนับแต้ม ที่ได้อันดับ 10, การนับแต้มจากการปั่นขึ้นเขาที่ได้อันดับที่ 2 ในกลุ่ม (การนับแต้มเฉพาะนักปั่นหน้าใหม่ที่เข้าแข่งแบบมืออาชีพน้อยกว่า 3 ปี) … แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังไม่ดีพอ โยนาสจบในอันดับ 2 เท่านั้น เขาแพ้ให้กับ ทาเดจ์ โปกาชาร์ นักปั่นวัยแค่ 22 ปีจากสโลวีเนีย ที่อยู่ในทีม ซึ่งตัวของ นั้นเเข่งในตูร์ เดอ ฟรองซ์ มาเป็นครั้งที่ 2 เท่านั้น

แต่อย่างที่แอนเดอร์เซ่นได้บอกเอาไว้ก่อนที่เขาจะดึงตัวโยนาสมาร่วมทีม ปูมหลังความเป็นนักสู้ในตัวของโยนาสคือสิ่งที่พิเศษ คาแร็กเตอร์ที่แข็งแกร่งและการเป็นคนประเภทหนักแค่ไหนก็ได้แค่ขอให้ชนะของเขาคือสิ่งที่ผู้จัดการทีม Jumbo Visma เชื่อว่าการแพ้ใน ตูร์ เดอ ฟรองซ์ ครั้งแรกของโยนาสไม่ใช่เรื่องใหญ่ พวกเขากลับไปวางแผนใหม่กันอีกครั้ง

“ตั้งแต่ปี 2020 พวกเรากำหนดเส้นตายของการเป็นแชมป์เอาไว้ ผมเคยบอกเอาไว้ว่าในปี 2025 ผู้คนจะรู้ว่า Jumbo Visma เป็นทีมที่ดีที่สุดในโลก เราจะชนะตูร์ เดอ ฟรองซ์ และคว้าอันดับ 1 ในเวิลด์ทัวร์ เราจะเป็นทีมที่ไม่ได้เติบโตในแง่ของตัวเลขเท่านั้น พวกเขาจะเข้าใจเเละรู้สึกถึงความยอดเยี่ยมของเรา เราจะบุกทะยานไปทุกรายการ ผมอยากให้แฟน ๆ รู้สึกอย่างนั้น เพราะนั่นแหละมันหมายความว่าเราเป็นเบอร์ 1 จริง ๆ” โยนาส เล่าถึงสิ่งที่เขาคาดหวัง และในปี 2022 เขาก็เข้าใกล้มาอีกก้าวแล้ว

ในการแข่งขัน ตูร์ เดอ ฟรองซ์ 2022 คู่แข่งของเขายังเป็น ทาเดจ์ โปกาชาร์ คนเดิม แต่รอบนี้ โยนาส แข็งแกร่งขึ้น เขาเอาชนะโปกาชาร์ได้ในการขับเคี่ยวอย่างดุเดือดช่วงขึ้นเขาสมฉายา “ราชาแห่งขุนเขา” และที่สุดเเล้วโยนาสทำเวลารวมตลอดการแข่งขัน 79 ชั่วโมง 33 นาที 20 วินาที เร็วกว่าโปกาชาร์ 2 นาที 43 วินาที กลายเป็นน่องเหล็กชาวเดนมาร์กคนแรกที่คว้าแชมป์ ตูร์ เดอ ฟรองซ์ นับตั้งแต่ บียาร์เน รีส ทำไว้ในปี 1996 ซึ่งรับสารภาพภายหลังว่าใช้สารกระตุ้น

 

โปรเจ็กต์ทำทีมให้เก่งที่สุดในโลกยังคงเดินหน้าต่อไป สำหรับ โยนาส วินจ์การ์ด เขายังเชื่อมั่นเสมอว่า Jumbo Visma คือทีมที่จะพาเขาไปสู่จุดที่เขาคาดหวังได้ เพราะทุกคนยังคงทำงานหนักเหมือนวันที่พวกเขาได้วาดความฝันร่วมกันไม่เปลี่ยนแปลง ในความคิดของเขาแม้เขาจะเป็นผู้คว้าเเชมป์ แต่นี่คือรางวัลประเภททีมที่จะขาดใครคนใดไปไม่ได้

“เราคือทีมที่มีเป้าหมายและแน่วแน่ เรื่องสารกระตุ้นไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน ทุกคนในทีมนี้สะอาดโดยสิ้นเชิง ไม่มีใครทำสิ่งที่ผิดกฎ … ต้นเหตุที่ทำให้พวกเราชนะคือการเตรียมตัวอย่างสุดความสามารถเพื่อสิ่งที่เราคาดหวัง คอยดูแล้วกัน ต่อจากนี้ไปพวกเราจะบินขึ้นไปสูงกว่านี้อีก” โยนาส วินจ์การ์ด กล่าวทิ้งท้าย

UFABETWIN